การก้าวสู่โลกสมัยใหม่ของการถ่ายภาพ
เมื่อการถ่ายภาพก้าวเข้าสู่ ศตวรรษที่ 20 ไปพร้อมๆกับการพัฒนาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และแนวคิดทางศิลปะ ภายใต้แนวคิดของยุคสมัยที่เรียกว่า สมัยใหม่ (Modernism) ซึ่งเกิดการท้าทายแนวคิดเก่าๆในห้วงเวลาที่ผ่านมา สำหรับการถ่ายภาพ ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับในฐานะผลงานทางศิลปะเฉกเช่นงานทัศนศิลป์อื่นๆ แม้ว่าแนวทางการถ่ายภาพที่สำคัญอันได้แก่ แนวพิคทอเรียล ก็นับว่าเป็นเพียงการเลียนแบบภาพจิตรกรรมเท่านั้น จึงทำให้เกิดข้อคำถามขึ้นมาว่าอะไรคือหลักการที่สำคัญที่สุดของการถ่ายภาพ หรือเริ่มมีการมองหาความจริงแท้ (Authentic) ของการถ่ายภาพ ประกอบกับการคิดค้นฟิล์มที่ผลิตจากเซลลูลอยด์ ทั้งขนาดใหญ่และขนาดที่เริ่มเป็นที่นิยมคือ ขนาด 35มม. ทำให้การถ่ายภาพแพรหลายเข้าไปสู่สังคมอย่างรวดเร็วและง่ายดาย นักถ่ายภาพจำนวนไม่น้อยสร้างสรรค์งานในรูปแบบ ที่ต่างไปจากเดิมโดยเฉพาะกลุ่มศิลปินที่เริ่มนำสื่อใหม่เข้ามาใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป ที่มีกลุ่มลัทธิทางศิลปะเกิดขึ้นมากมาย
การสร้างและศึกษารูปทรง ของ คาร์ล บลอสเฟลดท์ (Kral Blossfeldt) และ ความเหนือจริงของปารีสใน ภาพของยูจีน อาเช่ (Eugene Atget)
ในช่วงต้นของ ศตวรรษที่ 20 การใช้ภาพถ่ายเพื่อเป็นเครื่องมือในการ บันทึกรูปแบบหรือเป็นหลักฐาน หรือเป็นการเก็บข้อมูล มีการใช้อย่างแพร่หลาย คาร์ล บลอสเฟลดท(Kral Blossfeldt ค.ศ.1856-1932) ประติมากรชาวเยอรมันใช้การบันทึก ภาพเพื่อศึกษารูปทรง ของพืช โดยนำส่วนต่างๆของพืช มาถ่ายภาพในระยะใกล้ และอัดขยายออกเพื่อศึกษารูปร่างรูปทรง ของพืช แต่เมือเขาบันทึกภาพเป็นจำนวนมากเขาก็ค้นพบ ว่าภาพถ่ายส่วนต่างๆ ของพืชเป็นสิ่งที่หน้าสนใจโดยตัวมันเอง เขาจึงทำการรวบรวมภาพและตีพิมพ์หนังสือ Urformen der Kunst"(The original art) (ภาพที่ 116) นำเสนอภาพถ่ายของพืชที่เขาได้บันทึกไว้
คาร์ล บลอสเฟลดท ได้สร้างแนวทาง ของการถ่ายภาพที่มีจุดประสงค์ ที่ชัดเจน ไม่มีการสร้างอารมณ์ หรือการสร้างความหมายโดยใช้ เทคนิคการถ่ายภาพ ที่เรียกว่า Objective Photography ซึ่งจะกลายเป็นแนวทางสำคัญของภาพถ่ายเยอรมันในเวลาต่อมา


ภาพที่ 116 ภาพ ที่มีกำลังขยาย 6 เท่าของพืช โดย คาร์ล บลอสเฟลดท และหนังสือ Urformen der Kunst"(The original art)

ภาพที่ 117 ภาพที่มีกำลังขยาย 2 เท่าของพืช โดย คาร์ล บลอสเฟลดท( Galerie Wild, Colonge)
ในขณะที่ ยูจีน อาเช่ (Eugene Atget (ค.ศ.1857-1927)) ช่างภาพชาวฝรั่งเศส บันทึกภาพของปารีสอย่างละเอียดไม่ว่าจะเป็น อาคาร ถนน ตรอก ซอย หน้าต่างร้านค้า ด้วยกล้องขนาดใหญ่ ภาพของเขามักจะถูกซื้อโดยศิลปินเพื่อนำไปเป็นแบบในการวาดภาพ ลักษณะของภาพจะเป็นภาพเมืองที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน (ภาพที่ 118) เนื่องจากเขาใช้เพลทกระจกขนาดใหญ่รุ่นเก่าที่ใช้เวลาในการบันทึกภาพนาน ภาพจึงมีบรรยากาศของเมืองที่ดูแปลกต่าง ภาพปารีสในมุมต่างๆ ของอาเช่ ไม่ได้เพียงแค่บอกว่าน่ีคือเมืองอะไร หากแต่จะส่ือสารกับผู้ชมถึงความรู้สึกของเขาที่มีต่อเมือง ในลักษณะที่เรียกกันต่อมาว่า “Subjective Photography” แมน เรย์ ศิลปินดาดาและเซอเรียลริส กล่าวถึงงานของ
อาเช่ว่ามีความเหนือจริงในบรรยากาศของสถานที่ต่างๆที่เขาถ่ายภาพ ภาพของอาเช่กลายเป็น ฐานสำคัญให้กับช่างภาพที่สร้างสรรค์งานในรูปแบบของเซอเรียลลิส ที่มักจะนำภาพถ่ายมาสร้างงานศิลปะตามที่ตัวเองรู้สึก ต่อสิ่งต่างๆผ่านรูปแบบที่เป็นจริงของภาพถ่าย

ภาพที่ 118 ปารีสที่ ที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนของ อาเช่ (The Museum of Modern Art,New York)


ภาพที่ 119 ภาพของส่วนต่างๆของปารีสในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยอาเช่(The Museum of Modern Art,New York)
ภาพถ่ายในฐานะงานศิลปะสมัยใหม่
ในหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แนวคิดและความเชื่อแบบดั้งเดิมได้ถูกท้าทายเพราะ เพราะความโหดร้ายของสงคราม เกิดแนวคิดที่ต่อต้านความเชื่อเก่าๆนั่นก็คือ ลัทธิดาดา ศิลปินในกลุ่มนี้คนหนึ่งที่ใช้การถ่ายภาพ เป็นสื่อหลักๆในการนำเสนอความคิดคือ แมน เรย์ (Man Ray (ค.ศ.1890-1976)) ชาวฝรั่งเศสเขาได้นำเทคนิคๆต่างๆที่เกิดขึ้นในการถ่ายภาพมาใช้งาน โดยมีความคิด ที่พยายามจะค้นหาสิ่งใหม่ ในงานชุดที่ชื่อ Rayo graph (ภาพที่ 120) ที่เขาใช้เพียงการฉายแสงกับกระดาษอัดไวแสง และสิ่งๆต่างรอบตัวจัดวางลงบนกระดาษ ทำให้เกิดรูปร่างในระนาบสองมิติ เขาต้องการจะนำเสนอภาพถ่ายโดยไม่ใช้กล้องถ่ายภาพเพื่อแสวงหาหลักการที่แท้จริงของแสงที่ทำปฏิกิริยากับวัตถุ หรือการนำเสนอ แนวคิดของโลกในยุคจักรกลในอนาคตที่ ความสวยงามของสิ่งต่างๆรวมไปถึงมนุษย์ จะมีลักษณะเดียวกับวัตถุอุตสาหกรรม คือมีความมันวาว เขาจึงใช้เทคนิคการทำให้ ภาพมีความขาวจัดและมีลักษณะคล้ายกับผิวของอลูมิเนียมขึ้นเพื่อสะท้อนภาพของแนวคิดดังกล่าว ซึ่งในเวลาต่อมา แมนเรย์ ได้ทำงานในแนวคิดของลัทธิเหนือจริง โดยเขาพยามยามประกอบสร้างรูปทรงต่างๆในรูปแบบสามมิติแล้วนำเสนอในลักษณะ สองมิติ (ภาพที่ 121) สร้างความประหลาดให้กับผู้ชม ที่พยายามจะดูว่าน้ำตากับดวงตานั้นเป็นสิ่งเดียวกันหรือไม่


ภาพที่ 120 ลักษณะของงาน Rayograph และเทคนิคโซลาไรซ์ที่ทำให้ผิวคนมีลักษณะมันวาวแบบโลหะ (The Museum of Modern Art,New York)

ภาพที่ 121 ภาพ Larmes Tear ของ Man ray
(The Museum of Modern Art,New York) Copyright: © Man Ray Trust ARS-ADAGP
ในขณะเดียวกัน ช่างภาพชาวฮังกาเรียน อังเดร เคอเทส (André Kertész (ค.ศ.1894-1985)) กลับมีความชื่นชอบที่จะใช้รูปทรงของสิ่งของเรียบง่ายใกล้ตัว และไม่มีการจัดวางใหม่ ใช้เพียงการสร้างมุมมองผ่านการ บันทึกภาพอย่างตรงไปตรงมาที่ทำให้ สิ่งเหล่านั้นมีความน่าสนใจและสร้างรูปแบบที่ดูเหนือจริงแก่ผู้ชม การค้นคว้าหาวิธีใหม่หรือใช้เงาที่สะท้อนของแผ่นอลูมีเนียมเพื่อสร้างรูปทรงที่บิดเพี้ยนสร้างภาพที่มีความหมายใหม่ขึ้นมา (ภาพที่ 122)


ภาพที่ 122 ภาพ the fork ของอังเดร เคอร์เทซ และการใช้ความบิดเบี้ยวในแผ่นอลูมิเนียมสะท้อนแสง ( Estate of André Kertész)
นอกจากนี้ยัง มีช่างภาพหรือศิลปินที่หันมาใช้ภาพถ่ายสะท้อนความรู้สึก ในอีกรูปแบบหนึ่งคือ โมโฮลี นากี (László Moholy-Nagy ค.ศ.(1895-1946)) ศิลปินชาวเยร์มัน ที่ใช้เรื่องของมุมมองที่ดูผิดแผกไปจากการมองในรูปแบบปกติ เช่นการใช้ภาพมุมต่ำมาก การสร้างภาพที่เอียงเกินกว่าปกติ และมีการนำเอาภาพในลักษณะต่างๆที่ไม่เกี่ยวข้องกัน มาวางปะติดเข้าด้วย สร้างเทคนิคที่เรียกว่า โฟโต้ คอลลาจ (Photo collage) (ภาพที่ 123) โดยมักจะมีเนื้อหาที่วิพากษ์วิจารณ์แนวคิดของสังคมในเวลานั้นเป็นหลัก


ภาพที่ 123 โฟโต้คอลลาจ(Photo collage) ของ โมโฮลี นากี László Moholy-Nagy
(The Museum of Modern Art,New York)
นอกจากนี้แล้วการพยายามแสวงหาภาษาภาพในรูปแบบต่างๆเพื่อสร้างความน่าสนใจมากกว่ารูปแบบที่เคยทำกันมาของช่างภาพโซเวียต อเล็กซานเดอร์ รอทเช็งโก (Alexander Rodchenko ค.ศ.(1891-1956)) ซึ่งเป็นศิลปินในกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มโซเวียต อาว็อง-การ์ด (Soviet Avant-garde) ที่มักจะใช้ ภาพปะติดเพื่อสร้างเนื้อหาใหม่และยังใช้ภาพมุมสูงมาก หรือต่ำมากเพื่อสร้างภาพที่ดูยิ่งใหญ่โดยเฉพาะภาพที่จะสะท้อนอุดมการณ์ สังคมนิยมของ พรรคคอมมิวนิสต์ โซเวียต


ภาพที่ 124 ภาพ ภาพมุมสูงที่รอดเช็งโก ชอบใช้เพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของ พรรคสังคมนิยม (The Museum of Modern Art,New York)

ภาพที่ 125 โปสเตอร์ที่ใช้เทคนิคการปะติด ของรอคเช็งโก (The Museum of Modern Art,New York)
ในขณะที่ สหรัฐอเมริกาช่วงปลายทศวรรษที่ 20 อัลเฟรด สติกลิซ (Alfred Stieglitz (ค.ศ.1864-1946))ช่างภาพและศิลปิน ได้นำเสนอแนวคิดที่ เชื่อว่าภาพถ่ายควรมี สุนทรียศาสตร์เป็นของตนเองในรูปแบบที่เป็นลักษณะที่จริงแท้ เมื่อเขาได้เป็นบรรณธิการนิตยสารถ่ายภาพชื่อ Camera Works ในอเมริกา เขาให้การสนับสนุนแนวทางที่แตกต่างไปจากความนิยมแบบ พิคทอเรียล ที่กำลังมีอิทธิพล ในอเมริกา เขาตีพิมพ์ผลงานของช่างภาพที่นำเสนองานในรูปแบบใหม่ๆ เช่นผลงานของ ช่างภาพศิลปินที่สร้างงานในรูปแบบของลัทธิ ฟอลมอลลิส(Formalist)อย่าง พอล แสตรนด์ (Paul strand ค.ศ.1890-1978) ที่ได้สร้างงานโดยใช้รูปทรงและรูปร่างของของสิ่งต่างๆที่บันทึกภาพเพื่อสื่อความหมายอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่มีการปรุงแต่งให้เกิดอารมณ์ในภาพแต่อย่างไร(ภาพที่126) ต่อมาในต้นทศวรรษที่ 30 แนวคิดของ สติกลิซ ได้นำไปสู่การตั้งกลุ่มของช่างภาพหลายคน ที่มีความเชื่อแบบเดียวกันโดยใช้ชื่อว่า กลุ่ม F 64 อันหมายถึง รูรับแสงที่แคบมากของ กล้องขนาดใหญ่ที่จะส่งผลให้เกิดความคมชัดสูงสุด กลุ่มนี้มีความเชื่อว่า ภาพถ่ายควรจะเคารพให้ตัวของความเป็นการถ่ายภาพเองอันได้แก่ ความคมชัดที่ออกมาจากการใช้เลนส์และฟิล์ม ไม่มีเหตุผลใดๆที่จะต้องสร้างภาพถ่ายให้มีความนุ่มนวล คล้ายภาพเขียนในแบบพิคทอเรียล ช่างภาพในกลุ่มนี้มีลักษณะการสร้างงานที่หลากหลายและมีชื่อเสียง ไม่ว่าจะเป็นช่างภาพทิวทัศน์ อย่าง แอนเซล อดัมส์ (Ansel Adams ค.ศ.1902-1984) (ภาพที่ 127) ผู้ซึ่งสร้างระบบการบันทึกภาพแบบ โซนซิสเท็ม(Zone System) ที่ทำให้ภาพถ่ายขาวดำสามารถบันทึกภาพและอัดขยายภาพที่เกิดน้ำหนักของภาพที่สมบรูณ์ที่สุด เขาบันทึกภาพทิวทัศน์ของอุทยานแห่งชาติ ของสหรัฐอเมริกาอย่างงดงามและปราณีตด้วยกล้องถ่ายภาพที่ใช้ฟิลม์ขนาด 8x10นิ้ว เพื่อให้เกิดความคมชัดที่สูงที่สุด ตามแนวทางของ กลุ่ม F 64 ด้วยความที่กลุ่มนี้เป็นการรวมตัวของช่างภาพที่ใช้แนวคิดเดียวกันแต่มีแนวทางการนำเสนอที่หลากหลายดังเช่น เอ็ดวาร์ด เวสตัน (Edward Weston ค.ศ.1886-1958) (ภาพที่ 128) ใช้รูปทรงต่างๆของสิ่งของที่พบได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นพืช ผัก เปลือกหอย หรือร่างกายของมนุษย์ มาบันทึกภาพเพื่อให้เกิดการมอง ที่เปิดมุมมองให้ผู้ชมจิตนาการได้อย่างไม่จำกัดมากกว่าที่จะพยายามมองว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 การถ่ายภาพได้พยายามสร้างรูปแบบแนวคิดที่เป็นของตัวเองมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สิ่งเหล่านี้ทำให้แนวคิด ภาพถ่ายร่วมสมัยที่จะเกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง มีลักษณะที่เด่นชัดและหลากหลายและเป็นที่ยอมรับในฐานะงานศิลปะที่แสดงความคิดโดยรูปแบบของตัวเองในที่สุด


ภาพที่ 127 ภาพ Snake River ที่มีความคมชัดสูง ของ แอนเซล อดัมส์ (The Museum of Modern Art,New York)

ภาพที่ 128 ภาพ พริกหยวกที่ สร้างการมองได้หลายรูปแบบของ เอ็ดวาร์ด เวสตัน (The Museum of Modern Art,New York)