ภาพถ่ายในยุคแรกๆจึงไม่คำนึงถึงเรื่องความงามทางศิลปะมากนัก ลำพังเอาแค่ถ่ายให้คมชัดนี่ก็ยากเย็นมากแล้วศิลปินเองก็ไม่ยอมรับภาพถ่ายว่าเป็นงานศิลปะเป็นเพียงเครื่องมือช่วยบันทึกเท่านั้นหาได้มีความคิดและการใช้ฝีมือที่ละเอียดอ่อน แต่ว่าภาพถ่ายก็ถูกใช้งานโดยกลุ่มคนต่าง มากมายไม่ว่าจะเป็นภาพบุคคล ภาพทิวทัศน์
อย่างไรก็ตามด้วยความที่คิลปินเป็นคนช่างสังเกตุและสนใจใคร่รู้สิ่งใหม่ๆเลยมีศิลปินบางคนที่พยายามที่จะนำงานภาพถ่ายมาสร้างเป็นงานศิลปะไม่ว่าจะเป็น Qscar Rejlander ที่ได้กล่าวไปแล้วในตอนต้น ในสมัยแรกๆการถ่ายภาพแบบดาแกร์โรพท์ไม่สามารถตกแต่งภาพและ นำมาพิมพ์ใหม่ได้ จึงไม่เป็นที่นิยมในารนำมาสร้างงานศิลปะ ศิลปินมักจะใช้ระบบกระดาษ จนเกิดการพัฒนา wet plate ศิลปินจึงเปล่ียนมาใช้กระบวนการนี้ทันทีเพราะมีคุณภาพที่ดีกว่า อย่างไรก็ตามในยุคแรก wet plate มักจะมีปัญหากับสีนำ้เงินคือไม่มีประสิทธิภาพมาก ในโทนนำ้เงินทำ ให้ภาพท้องฟ้ามักขาวเมื่อถ่ายภาพศิลปินจึงซ้อนภาพท้องฟ้าที่ถ่ายด้วยเวลามากขึ้นตามลงไปที่หลังด้วยความที่การถ่ายภาพต้องใช้เวลามากในการบันทึกและการใช้พื้นที่ในการบันทึกภาพเป็นสิ่งที่ยุ่งยากในการควบคุม ดังน้ันการซ้อนภาพจากหลายๆเพลทจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น ดังที่เราทราบกัน ในงานTWO WAY OF LIFE ของ Qscar Rejlander ที่ใช้มากกว่า 30 เพลทในการสร้างภาพขนาดกว้าง 31 นิ้ว
ศิลปินในยุคแรกมองการสร้างงานศิลปะภาพถ่ายให้มีลักษณะที่ใกล้เคียงกับภาพวาดโดยเฉพาะภาพในยุคrenaissanceศิลปินในยุคนั้นบางคนถึงกับเสนอแนะให้ช่างภาพโฟกัสภาพให้เบลอเล็กน้อยเพื่อลดความคมชัดทำให้ภาพนุ่มเหมือน ภาพเขียน
ในส่วนของการสร้างภาพจะมีการจัดวางอย่างปราณีตราวกับเป็นการสร้าง ฉากของละครเวทีทำเกิดความงามขององค์ประกอบในหน้าฉากนั้นผู้ชมจะสัมผัสกับภาพในแนวระนาบที่ไม่มีความลึกมากนักแบบละครเวที ที่เรียกว่า Tableaux velvant ซึ่งก็สอดคล้องกับการแบบในภาพต้อง แสดงท่าทางหยุดนิ่งอย่างน้อย 20วินาทีถึง 1นาที ภาพจึงจะมีความคมชัดสิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นรูปแบบหนึ่งในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะภาพถ่ายในเวลาต่อมา ในส่วนของเรื่องราวของภาพถ่ายส่วนจะเรื่องของเทพนิยาย เรื่องราวทางศาสนา,วีรบุรุษ หรือบทละครของเชคเสปียร์ และยังรวมไปถึงการได้รับอิทธิผลของภาพวาดครอบครัวของชนชั้นสูงที่มีการแสดงอารมณ์แบบสบายๆ อีกด้วย
James Elliot, Quite a Hopeless case, c 1856 hand colour stereograph. V&A Museum London
เป็นภาพที่แสดงการการจัดวางองค์ประกอบต่างๆในภาพที่มีลักษณะใกล้เคียงกับละครเวที ภาพจะได้อิทธิพลมาจากภาพเขียนที่มีเรื่องราวในเชิงจริยธรรม
Don Quixote in His Study, 1857
William Lake Price (British, 1810–1896)
Albumen silver print from glass negative; 12 9/16 x 11 in. (31.9 x 28 cm)
ภาพของ William lake price สร้างจาก เรื่อง ดอน กีย์โฮเต้ เป็นตัวอย่าง ที่ช่างภาพใช้อุปกรณ์ประกอบฉากโดยพยามให้เหมือนกับฉากในนวนิยายมากที่สุด
Note: ภาพ ของ TWO WAY OF LIFE ของ Qscar Rejlander เป็นตัวอย่างที่ดี ของ Tableaux velvant ที่กลุ่มของคนในภาพล้วนแสดงออกมาโดย มีการวางจุดเด่นที่ตรงกลาง แล้วปล่อยให้เนื้อหาทั้งหมดปรากฏอยู่ตรงหน้าเหมือนกับยืนอยู่หน้าฉากเวทีละคร ใช้การซ้อนภาพและใช้การวาดเติมนำ้หนักในภาพบ้าง นอกจากนี้เขายั้งได้รับ แรงบันดาลใจในการวางองค์ประกอบและเรื่องของแสงจาก ภาพเขียน renaissance อีกด้วย
Henry peach Robinson (1830-1901) จิตรกรและช่างภาพ เขาได้ศึกษาการประกอบและซ้อนภาพจากหลายๆเนคกาทีฟจาก Qscar Rejlander ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานในสตูดิโอ เขาได้ทดลองสร้างภาพที่ผสมกันระหว่าง ภาพที่วาดด้วยมือกับภาพถ่าย เป็นวิธี การเตรียมภาพร่างเพื่อให้ภาพที่จะถ่ายภาพออกมาสมบูรณ์ที่สุด
นอกจากนี้เขายังใช้การร่างภาพอย่างละเอียดเพื่อเป็นการ จัดว่างองค์ประกอบให้ลงตัวตามที่คิดไว้ อย่างละเอียด
เขาหลงใหลการถ่ายภาพเป็นอย่างมาก ภาพของเขาพยายามที่จะแสดงอารมณ์ ที่สะเทือนใจให้กับผู้ชม ดังเช่นในภาพ Feding away ที่นำเสนออารมณ์เศร้าโศกของการ ครอบครัวที่กำลังจะสูญเสีย บุตรสาว
ภาพเมื่อเผยแพร่ออกไปทำให้เกิดการความสังสัยถึงความเป็นจริงในภาพซึ่งโรบินสันได้ออกมาแจ้งว่าภาพเป็นการสร้างขึ้น หาได้เกิดขึ้นจริงไม่ ภาพนี้สร้างจากการถ่ายภาพทั้งหมด 5เนคกาทีฟ ใช้ภาพบรรยากาศรวมๆที่ถ่ายการสร้างฉากขึ้น และเตรียมนักแสดงแบบเข้าฉากในแต่ละส่วน เพื่อการบันทึกภาพ
"She Never Told Her Love," 1857Henry Peach Robinson (British, 1830–1901)
Albumen silver print from glass negative; 7 1/16 x 9 1/8 in. (18 x 23.2 cm)
Gilman Collection, Purchase, Jennifer and Joseph Duke Gift, 2005 (2005.100.18)ภาพจาก www.metmuseum.org
ภาพของโรบินสัน มักจะแสดงอารมณ์โดยใช้การแสดงทางสีหน้าของแบบ การจัดวางและการใช้นำ้หนักของแสงเป็นหลัก ได้รับอิทธิพลจากงานจิตรกรรมในกลุ่ม Pre-Raphaelites[1] ที่เพื่องฟูในอังกฤษ
ในภาพ The Lady ofShalot(1861) เขาใช้เนื้อหาเรื่องราวและพยายามจัดวางองประกอบภาพให้ใกล้เคียงกับภาพวาด Ophelia โดย John Evereet Millais มากที่สุด
Henry peach Robinson ได้สร้างงานไว้เป็นจำนวนมาก เขาเชื่อว่าภาพควรแสดงอารมณ์ออกมาเพื่อโน้มน้าวผู้ชมให้คล้อยตามอารมณ์ของภาพนั้นๆ งานเขียน Pictorial Effect in Phtography กลายเป็นมาตรฐานให้กับแนวทางการถ่ายภาพ ตลอดศษตวรรษที่ 19 ทำให้ภาพแนว Pictorial ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในฐานะงานศิลปะภาพถ่ายเช่นกัน
[1] Pre-Raphaelites เป็นกลุ่มศิลปิน อังกฤษที่เชื่อว่า ควรนำแนวทางการสร้างงานจิตกรรมที่มีการจัดวางอย่างงดงามแต่ซับซ้อนสีสรรสดและมีรายละเอียดมากในงาน มากกว่าที่จะใช้รูปแบบคลาสิคทีได้รับอิธทิพลของ ราฟาเอลและไมเคิลแองเจลโล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น